ทริคสั่งของจากจีน

ในยุคที่ทุกคนขายของได้เหมือนกัน

สินค้าอาจไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คุณต่างออกไป...
แต่ “วิธีขาย” ต่างหาก

ที่สร้างความได้เปรียบมากๆเลยครับ

วันนี้ผมอยากเล่า 6 เทคนิคที่ไม่เคยเก่า และใช้ได้กับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะขายออนไลน์หรือออฟไลน์ ผมเองก็ใช้ประจำในธุรกิจที่ทำ


1. เสนอ 3 ทางเลือก เพื่อควบคุมเกมการตัดสินใจ

การเสนอราคาชุดเดียว ทำให้ลูกค้ารู้สึกเสี่ยง 
แต่การมี 3 ราคา (ถูก-กลาง-พรีเมียม) ทำให้ลูกค้ารู้สึก “เป็นฝ่ายเลือกได้”

เช่น:

  • Package A: เริ่มต้น 990 บาท

  • Package B: ยอดนิยม 1,490 บาท

  • Package C: ครบสุด 2,490 บาท

? ส่วนใหญ่คนจะเลือกกลาง (Anchoring Effect)
ซึ่งคุณสามารถวาง “Option กลาง” ให้เป็นตัวสร้างยอดได้

ผมเคยอ่าน case study ของตู้หยอก Coke ที่หนึ่งเขาบอกว่าสิ่งที่เขาพบน่าแปลกใจมากเพราะการที่เขาวางตู้ Pepsi ไว้ไม่ได้ทำให้ยอดขาย Coke ลดลงแต่อย่างใด ในขณะเดียวกันทำให้ยอดขายตู้จุดนั้นของเขาเพิ่มขึ้น เพราะคนรู้สึกมีทางเลือกแทนที่จะเลือกแค่ Coke ซึ่งนำไปสู่หลักการข้อต่อไปของเราก็คือ

 

2. ปิดการขายด้วย “ตัวเลือก 1 หรือ 2 ” ไม่ใช่ “คำถามว่า จะรับไไหม”

แทนที่จะถามว่า “เอาไหมครับ?” ซึ่งเสี่ยงได้คำตอบว่า “ขอคิดดูก่อน”

ให้ถามแบบนี้:

  • “จะเอาแบบ A หรือแบบ B ดีครับ?” เหมือนตัวอย่างเรื่องตู้กด Coke เมื่อกี้ การที่เราถามไปจะรับไหม จากประสบการณ์ผมส่วนใหญ่คนก็จะตอบว่า ขอคิดดูก่อน

คำถามแบบนี้ช่วย “ขยับลูกค้า” จากลังเลว่าจะเอาหรือไม่ > ไปสู่การเลือก

3. อย่าหาแค่ Pain Point — แต่ต้องหาให้เจอว่า "อะไรลึกๆที่ทำให้ลูกค้ายอมขยับตัว"

ทุกคนลองนั่งนึกตามนะครับ ครั้งล่าสุดที่เราซื้ออะไรสักอย่างที่เราอยากได้จริงๆ เราซื้อเพราะอยากได้มันหรือเพราะโปร

แน่นอนโปรก็เป็นส่วนหนึ่งแต่ก่อนเราจะตัดสินค้าเลือกโปรนั้นๆแน่นอนว่าเราต้องอยากได้มันก่อนเพราะเราเชื่อว่าสิ่งนั้นมันช่วยเติมเต็มเราได้ 

เช่น:

  • เราไม่ได้อยากลดน้ำหนัก เพราะอ้วน
    แต่เพราะอยากใส่ชุดที่เคยใส่ได้

  • คนซื้อของขวัญเพราะ “อยากให้คนนั้นรู้สึกดี” ไม่ใช่เพราะ “อยากได้ของ”

  • ไม่ได้อยากซื้อประกัน เพราะกลัวตาย
    แต่เพราะอยากให้ครอบครัวปลอดภัยจากค่าใช้จ่ายที่อาจจะรับไม่ไหวหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

ประเด็นสำคัญคือทุกคนต้องหาจุดที่ลูกค้ารู้สึก “เชื่อมโยง” ซึ่งอันนี้ทุกคนก็ต้องไปหาด้วยตัวเองว่ากลุ่มลูกค้าของเรามีความเชื่อแบบไหน ที่จะเป็นจุดเชื่อมโยงเข้ามาสู่สินค้าเราได้บ้างนั้นเองครับ

หาความเชื่อที่ขับเคลื่อนใจลูกค้า แล้วพูดกับเขาจากจุดนั้น

 

4. ใช้การเปรียบเทียบให้ลูกค้าเห็น “ความต่าง” ไม่ใช่แค่ “คุณค่า”

มนุษย์ชอบเปรียบเทียบดดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่สินค้า บางทีก็เป็นตัวเองกับคนอื่น  

คนเราเปรียบเทียบอยู่ตลอดเวลาครับ

สำหรับการขายยิ่งเราช่วยเปรียบเทียบให้ลูกค้าเห็นได้ชัดโอกาสการปิดการขายก็จะมากขึ้นครับ เช่น

  • สินค้าตัวนี้ของเรา ทนกว่ายี่ห้อนี้ถึง 2 เท่า

  • แพลตฟอร์มของเราไม่มีค่าธรรมเนียมซ่อนเหมือนเจ้านั้น

  • สินค้าเราอาจจะแพงกว่านิดหน่อยแต่มีการันตีเปลี่ยนคืนภายใน 3 เดือน

 การให้กรอบเปรียบเทียบ ทำให้ลูกค้ารู้สึกฉลาดขึ้น แทนที่จะพูดว่าสินค้าคุณดีอย่างไร → เอาไปเปรียบกับของที่ลูกค้าเคยใช้สินค้าของคู่แข่งในตลาด 

 

5. สร้างความเร่งด่วนที่ "มีเหตุผล"

ลูกค้าจะตัดสินใจง่ายขึ้นถ้ารู้ว่ามี "ข้อจำกัด" ใช้หลัก Scarcity & Urgency เลยครับจุดนี้

การจำกัดผมแนะนำ 4 แบบนี้ครับ เช่น:

  • (จำกัดจำนวน) “รุ่นี้เหลือเพียง 5 ชิ้น”

  • (จำกัดสถานที่) “รุ่นนี้จะมีเฉพาะที่สาขานี้เท่านั้น”

  • (จำกัดสิทธิ์) "ราคานี้สำหรับลูกค้า 30 คนแรกเท่านั้น”

  • (จำกัดเวลา) "หมดเขตคืนนี้เท่านั้น เพราะต้นทุนลอตหน้าเปลี่ยน”

ไม่ได้เร่งเพราะอยากขายเร็ว แต่เร่งเพราะของมัน "มีคุณค่า" และ "มีจำกัด" 

 

6. Upsell / Cross-sell ต้องเกิด "ในจังหวะที่ใช่"

หลายคนชอบให้พนักงานโทรไปขายของลูกค้า (เร็วเกินไป) จริงๆเราไม่ควรขายของเพิ่ม (upsell) ตอนลูกค้ายังลังเล
จงขายเพิ่ม “หลังเขาตัดสินใจซื้อกับเราแล้ว” เพราะเป็นช่วงของการเปิดใจลองใช้ 

รอให้เขาตัดสินใจซื้อแล้ว แล้วค่อยเสนอสิ่งที่ช่วยเติมเต็ม เช่น:

  • ลูกค้ากดซื้อเสื้อ > เสนอ “กางเกงแมตช์กันพอดี”

  • ซื้อแล็ปท็อป > เสนอ “ขยายประกัน + อุปกรณ์เสริม”

จังหวะทองของ Upsell คือ "หลังลูกค้าตัดสินใจหลัก" ไม่ใช่ก่อน ไม่ใช่โทรไปยัดของใส่มือเขาในเวลาที่เขาไม่ต้องการ

 

สรุป: การขายทรงพลังคือ คือการ "เข้าใจจังหวะเวลาและความเชื่อของลูกค้า" ไม่ใช่แค่ “อัดโปร ลดราคาเพื่อปิดยอด”

ไม่ว่าคุณจะขายบนไลฟ์ TikTok, ทำโฆษณาบน Facebook, หรือเปิดร้านเอง
6 เทคนิคนี้จะช่วยให้คุณ “เชื่อมกับลูกค้า” และ “ควบคุมกระบวนการตัดสินใจ” ได้ลึกกว่าแค่ขายของทั่วไปครับ ยังไงก็ลองนำไปปรับใช้กันดูนะครับ

บทความและข่าวสารที่น่าสนใจ